ข้อเสนอโครงการวิจัยเป็นรายงานที่สำคัญรายงานหนึ่ง การตัดสินใจที่จะให้มีการทำวิจัยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับข้อเสนอโครงการวิจัยนี้ ข้อเสนอโครงการวิจัยนี้นอกจากจะเป็นการเสนอการวางแผนงานวิจัยแล้วยังต้องเสนอผลของการวิจัยที่คาดหมายไว้ด้วยแนวคิดต่างๆ พร้อมทั้งผลที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งต้องถ่ายทอดออกมาเป็นรายงานที่เอาชนะใจผู้บริหาร แสดงความสำคัญและประโยชน์ที่คุ้มค่า การวิจัยจะเกิดขึ้นหรือไม่ จึงอยู่ที่ข้อเสนอโครงการวิจัยนี้
“ข้อเสนอโครงการวิจัย เป็นรายงานที่แสดงการวางแผนล่วงหน้า ซึ่งต้องครอบคลุมถึงวัตถุประสงค์ วิธีดำเนินงานวิจัย งบประมาณ(ถ้ามี) และผลที่คาดว่าจะได้รับ”
เนื้อหาของรายงานข้อเสนอโครงการวิจัย
1. ชื่อเรื่อง ภาษาไทย และอังกฤษ (Title)
การตั้งชื่อโครงการควรตั้งให้ตรงหรือสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเนื้อหาที่เราต้องการศึกษา โดยหากเป็นการศึกษาปัญหาที่เกี่ยวกับบริษัท หรือหน่วยงาน ผู้วิจัยต้องมีการเขียนอ้างอิงบริษัทหรือหน่วยงานดังกล่าวด้วย
2. ที่มาและความสำคัญของปัญหา (Background to the problem)
เป็นการกล่าวถึงปัจจัยที่ทำให้ผู้วิจัยต้องศึกษาเรื่องดังกล่าว ซึ่งอาจแสดงได้ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันภายใน และภายนอกบริษัทหรือหน่วยงานที่บีบคั้น หรือแสดงออกด้วยแรงจูงใจด้านการพัฒนาที่ทำให้ต้องดำเนินการ รวมทั้งอาจมาจากงานวิจัยในปัจจุบันที่ยังขาดเรื่องดังกล่าว เป็นต้น
3. วัตถุประสงค์ของการศึกษา (The Study Objective)
เป็นการเขียนปัจจัยต่างๆ ที่ผู้วิจัยต้องทำการศึกษา เพื่อนำผลที่ได้จากวิคราะห์ และอภิปรายผลการศึกษาต่อไป
4. สมมติฐาน (Hypothesis)
การวิจัยที่ต้องมีการเขียนสมมติฐานเบื้องต้น คือ การวิจัยเชิงปริมาณ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพ ไม่ต้องมีการเขียนสมมติฐาน โดยการเขียนสมมติฐานมีจุดประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป็นการคาดคะเนหรือสันนิษฐานคำตอบของงานวิจัยนั้น
5. ขอบเขตการศึกษา (Scope of the study)
การจำกัดขอบเขตในการศึกษาว่าจะศึกษาเกี่ยวกับอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร เพื่อช่วยให้จำกัดลักษณะปัญหาให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยส่วนมากมักจะกำหนดขอบข่ายในด้านประชากร กลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกำหนดช่วงเวลา เพื่อให้ความคิดของผู้อ่าน หรือผู้นำรายงานวิจัยไปใช้อยู่ในกรอบที่จำกัด ไม่หลงผิดไปในทิศทางอื่น
6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ (Contribution of the study)
การเขียนประโยชน์ที่ผู้วิจัยคาดว่าจะได้รับนั้น มีวิธีการเขียนหลายแบบ ซึ่งในที่นี้เสนอ 2 ส่วน คือ
1) ส่วนที่เป็นประโยชน์ในทางวิชาการ เช่น ช่วยให้ได้รับความรู้ความเข้าใจทางวิชาการในเรื่อง... หรือ เป็นแนวทางในการพัฒนาความรู้ในเรื่อง... เป็นต้น
2) ส่วนที่เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ ซึ่งควรมีการระบุด้วยว่าหน่วยงานใดบ้างที่ได้รับประโยชน์ และนำไปพัฒนาในด้านใด เป็นต้น
7. นิยามศัพท์ (Definition of Term)
เป็นการจำกัดความหมายของคำ หรือข้อความที่ใช้ในการวิจัย เพื่อให้เกิดการสื่อความหมายที่ตรงกัน ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจตรงจุดตามความมุ่งหมายของผู้วิจัย และยังช่วยให้ปัญหาการทำวิจัยมีความรัดกุมชัดเจนมากขึ้น การนิยามศัพท์เฉพาะ สามารพทำได้ 2 ลักษณะ คือ
1) การนิยามทั่วไป เป็นการนิยามตามความหมายของตัวแปรนั้น อาจจะนิยามตามทฤษฎี ตามพจนานุกรม หรือตามผู้เชี่ยวชาญ
2) การนิยามปฏิบัติการ เป็นการนิยามตัวแปรที่ศึกษา โดยแบ่งออกในรูปโครงสร้างความสามารถในการวัด การสังเกตหรือตรวจสอบนิยามปฏิบัติการ ทำการนิยามลักษณะนี้เน้นการพยายามบอกหรือธิบายว่าพฤติกรรมหรือตัวแปรนั้นเป็นอย่างไร วัดได้โดยวิธีใด และใช้เครื่องอะไรวัดผลของการวัดออกมา
8. วรรณกรรมปริทัศน์ (Literature Review)
เป็นการกำหนดแนวความคิดที่มีความเกี่ยวข้องกับการวิจัยว่าต้องนำเรื่องใดมาพิจารณาบ้าง มักเป็นการกล่าวถึงปัจจัยที่มีผลต่อการศึกษา และการดำเนินงาน
9. ระเบียบวิธีการศึกษา (The Study Methodology)
เป็นการกล่าวถึงวิธีการที่นักวิจัยจะนำมาใช้ในการวิจัย ได้แก่
- การเก็บข้อมูลแต่ละประเภท ต้องใช้วิธีการใด หรือเทคนิคใดบ้าง
- การวิเคราะห์ข้อมูลให้หลักการใด
- การสรุปผลข้อมูล
10. ชื่อผู้วิจัย และผู้ร่วมวิจัย
เป็นการเขียนรายชื่อผู้ที่ร่วมดำเนินการวิจัย โดยหากเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีผู้วิจัยหลายคน ต้องมีการกำหนดหัวหน้าโครงการที่เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
หมายเหตุ หากเป็นรายงานที่จัดทำโดยนักวิจัยทางธุรกิจ เพื่อเสนอต่อองค์กร/หน่วยงาน จะต้องมีส่วนประกอบเพิ่มเติม ดังนี้ งานวิจัยในอดีตของผู้ทำวิจัยหรือคณะผู้จัดทำวิจัย ตารางเวลาแสดงการปฏิบัติงาน งบประมาณที่คาดว่าจะต้องใช้